มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เป็นเกณฑ์ข้อกำหนดขั้นต่ำที่เกษตรกรผู้ผลิตจะต้องปฏิบัติตาม
และหน่วยงาน รับรองจะใช้เป็นเกณฑ์ในการตรวจประเมินการผลิตและตัดสินใจในการรับรองฟาร์มที่ได้ปฏิบัติตามเกณฑ์
มาตรฐานนั้น ๆปกติในการกำหนดมาตรฐานโดยส่วนใหญ่
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกษตรอินทรีย์กลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่า จะเป็นเกษตรกรผู้ผลิต
ผู้ประกอบการ ผู้ค้า ผู้บริโภค รวมทั้งนักสิ่งแวดล้อม และนักวิชาการด้านต่าง ๆ
จะมี ส่วนร่วมในการให้ความคิดเห็นและตัดสินใจในการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานในแต่ละข้อ
ความคาดหวังหรือการ ให้คุณค่ากับการปฏิบัติเกษตรอินทรีย์ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ละส่วนจะถูกตรวจสอบ
และยอมรับหรือปฏิเสธ โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ
โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ประกอบการ เพราะผู้ผลิตและผู้ประกอบการจะ เป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อกำหนดเหล่านั้น
ดังนั้น มาตรฐานจึงเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นกระบวนการแปล ความคาดหวังและคุณค่าของเกษตรอินทรีย์ให้เป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ
นอกจากนี้ในกระบวนการตัดสินใจ กำหนดมาตรฐานนั้น จะต้องมีการสร้างฉันทามติ (consensus
building) เพื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดยอมรับ ดังนั้น
ข้อตกลงในมาตรฐานจึงเปรียบเหมือนเป็น “สัญญาประชาคม” ระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด นอกจากนี้ สัญญาประชาคมนี้ได้มีการกำหนดรายละเอียดกระบวนการผลิตไว้อย่างค่อนข้างชัดเจน
ทำให้มาตรฐานเกษตร อินทรีย์มีสถานะเสมือนหนึ่งเป็น “คำนิยาม”
ของเกษตรอินทรีย์ไปพร้อมกันด้วย
จะเห็นได้ว่า มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เป็นภาพสะท้อนของสภาวการณ์การผลิตและการแปรรูปผลผลิต เกษตรอินทรีย์ที่เกษตรกรได้พัฒนายกระดับความสามารถในการทำการผลิตและแปรรูปให้ก้าวรุดหน้า มากขึ้น ดังนั้น มาตรฐานเกษตรอินทรีย์จึงไม่ใช่มาตรฐานที่หยุดนิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นสภาพการณ์ที่ยัง สามารถมีการแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามสภาวการณ์ของการผลิตเกษตรอินทรีย์ที่นับวันมีแต่จะก้าวรุดหน้า ขึ้นไปเรื่อย ๆ ข้อกำหนดโดยสรุปของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญ ได้แก่
จะเห็นได้ว่า มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เป็นภาพสะท้อนของสภาวการณ์การผลิตและการแปรรูปผลผลิต เกษตรอินทรีย์ที่เกษตรกรได้พัฒนายกระดับความสามารถในการทำการผลิตและแปรรูปให้ก้าวรุดหน้า มากขึ้น ดังนั้น มาตรฐานเกษตรอินทรีย์จึงไม่ใช่มาตรฐานที่หยุดนิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นสภาพการณ์ที่ยัง สามารถมีการแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามสภาวการณ์ของการผลิตเกษตรอินทรีย์ที่นับวันมีแต่จะก้าวรุดหน้า ขึ้นไปเรื่อย ๆ ข้อกำหนดโดยสรุปของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญ ได้แก่
1.
ระบบนิเวศการเกษตร
ระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์ต้องเอื้ออำนวยต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟู สิ่งแวดล้อม
ซึ่งผู้ผลิตจะต้องดำเนินการในการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและสภาพนิเวศ
ท้องถิ่นดั้งเดิมไว้เพื่อให้พืชพรรณและสัตว์ท้องถิ่นสามารถมีที่อยู่อาศัยได้อย่างเพียงพอ
นอกเหนือจากการ อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว
เกษตรอินทรีย์ยังจำเป็นต้องมีมาตรการในการอนุรักษ์ดินและน้ำอย่าง จริงจังอีกด้วย
โดยในการอนุรักษ์ดินนั้น ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน
การอัด แน่นของหน้าดิน ดินเค็ม และการเสื่อมสภาพของดินด้วยเหตุปัจจัยอื่นๆ
ส่วนการอนุรักษ์น้ำนั้นเป็นเรื่องของ การใช้น้ำอย่างประหยัด
ป้องกันไม่ให้เกิดน้ำเสียหรือปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ
การหมุนเวียนน้ำมาใช้ ใหม่ซึ่งอาจดำเนินการโดยการเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน
การออกแบบวิธีและระยะเวลาของการเพาะปลูก อย่างเหมาะสม
การใช้วิธีการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการออกแบบวางแผนการทำการเกษตร โดย คำนึงถึงเงื่อนไขข้อจำกัดของทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ในท้องถิ่น
2. การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ควรเริ่มจาก การมีแผนการปรับเปลี่ยนที่ชัดเจน โดยแผนการปรับเปลี่ยนดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของ มาตรฐาน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนฟาร์มทั้งหมดเข้าสู่เกษตรอินทรีย์พร้อมกัน หรือค่อยๆ ปรับเปลี่ยนบางส่วนของฟาร์มเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ก็ได้แต่ทั้งนี้แผนการปรับเปลี่ยนจะต้องระบุถึงขั้นตอนและระยะเวลาใน การปรับเปลี่ยนฟาร์มทั้งหมดเข้าสู่เกษตรอินทรีย์รวมทั้งการจัดแยกระบบการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์และไม่ใช่ เกษตรอินทรีย์ออกจากกัน ซึ่งในแต่ละมาตรฐานอาจกำหนดระยะเวลาของการปรับเปลี่ยนแตกต่างกันไป ซึ่ง ในช่วงระยะปรับเปลี่ยนนี้อาจใช้เวลา 12 - 36 เดือนขึ้นกับมาตรฐาน โดยในช่วงนี้เกษตรกรสามารถทำการ เพาะปลูกหรือทำการผลิตตามปกติแต่จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์และผลผลิตที่ ผลิตขึ้นมาจะไม่สามารถใช้ตรารับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ได้ (บางมาตรฐานอาจมีข้อกำหนดให้ใช้ตรา รับรองมาตรฐานระยะปรับเปลี่ยนได้)
2. การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ควรเริ่มจาก การมีแผนการปรับเปลี่ยนที่ชัดเจน โดยแผนการปรับเปลี่ยนดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของ มาตรฐาน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนฟาร์มทั้งหมดเข้าสู่เกษตรอินทรีย์พร้อมกัน หรือค่อยๆ ปรับเปลี่ยนบางส่วนของฟาร์มเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ก็ได้แต่ทั้งนี้แผนการปรับเปลี่ยนจะต้องระบุถึงขั้นตอนและระยะเวลาใน การปรับเปลี่ยนฟาร์มทั้งหมดเข้าสู่เกษตรอินทรีย์รวมทั้งการจัดแยกระบบการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์และไม่ใช่ เกษตรอินทรีย์ออกจากกัน ซึ่งในแต่ละมาตรฐานอาจกำหนดระยะเวลาของการปรับเปลี่ยนแตกต่างกันไป ซึ่ง ในช่วงระยะปรับเปลี่ยนนี้อาจใช้เวลา 12 - 36 เดือนขึ้นกับมาตรฐาน โดยในช่วงนี้เกษตรกรสามารถทำการ เพาะปลูกหรือทำการผลิตตามปกติแต่จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์และผลผลิตที่ ผลิตขึ้นมาจะไม่สามารถใช้ตรารับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ได้ (บางมาตรฐานอาจมีข้อกำหนดให้ใช้ตรา รับรองมาตรฐานระยะปรับเปลี่ยนได้)
3.
การผลิตพืช ในระบบการปลูกพืช
ควรเลือกปลูกพืชที่หลากหลายชนิดและพันธุ์ เพื่อสร้าง เสถียรภาพและความยั่งยืนของนิเวศฟาร์ม
นอกจากนี้การปลูกพืชหลากหลายพันธุ์ยังเป็นการช่วยรักษาความ หลากหลายของพันธุกรรมพืชไว้ด้วย
ในการสร้างความหลากหลายของการปลูกพืชนี้ควรมีการปลูกพืช หมุนเวียนโดยมีพืชที่เป็นปุ๋ยพืชสดรวมอยู่ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชตระกูลถั่วและพืชที่มีระบบรากลึก โดย จัดระบบการปลูกพืชให้มีพืชคลุมดินอยู่ตลอดทั้งปีสำหรับเมล็ดพันธุ์พืชและส่วนขยายพันธุ์มาตรฐานมี
ข้อกำหนดที่ต่างกันออกไป แต่โดยหลักทั่วไปจะกำหนดให้เลือกใช้พันธุ์พืช (เมล็ด
กิ่งพันธุ์ต้นกล้า) ที่ผลิตจาก ระบบเกษตรอินทรีย์แต่ในกรณีที่ไม่สามารถหาเมล็ดพันธุ์เกษตรอินทรีย์ได้มาตรฐานอาจมีข้ออนุโลมให้ใช้
เมล็ดพันธุ์ทั่วไปได้
4.
การจัดการดิน และธาตุอาหาร การจัดการดินที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบเกษตรอินทรีย์การ
ปรับปรุงดินและการบริหารจัดการดินและธาตุอาหารมีเป้าหมายเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ซึ่งรวมถึง การจัดการให้มีธาตุอาหารอย่างเพียงพอกับพืชที่เพาะปลูก
และเพิ่มพูนอินทรียวัตถุให้กับดินอย่างต่อเนื่อง โดย การสร้างกลไกของการหมุนเวียนธาตุอาหารในฟาร์ม
รวมทั้งการป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน และ การสูญเสียของธาตุอาหาร
ซึ่งการจัดหาแหล่งธาตุอาหารพืชนั้นควรเน้นที่ธาตุอาหารที่ผลิตขึ้นได้ภายในระบบ ฟาร์ม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการให้มีการหมุนเวียนธาตุอาหารในฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ปุ๋ย ธาตุอาหารทั้งจากหินแร่ธาตุหรือปุ๋ยอินทรีย์และอินทรียวัตถุจากภายนอกฟาร์มนั้น
ควรเป็นแค่แหล่งธาตุอาหาร เสริมเท่านั้น
ไม่ใช่เป็นแหล่งทดแทนการผลิตและการหมุนเวียนธาตุอาหารในฟาร์ม
5. การป้องกันกำจัดศัตรูพืช
ในระดับฟาร์ม การป้องกันกำจัดศัตรูพืชในระบบเกษตรอินทรีย์จะเน้นที่ การเขตกรรม
การจัดการศัตรูพืชโดยชีววิธีและวิธีกลเป็นหลัก
ทั้งนี้โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างสมดุลของ ระบบนิเวศการเกษตรที่ทำให้พืชที่เพาะปลูกพัฒนาภูมิต้านทานโรคและแมลงและสภาพแวดล้อมของฟาร์มไม่
เอื้ออำนวยต่อการระบาดของโรคและแมลง
ต่อเมื่อการป้องกันไม่เพียงพอเกษตรกรจึงอาจใช้ปัจจัยการผลิต สำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืช
ซึ่งกำหนดอนุญาตไว้ในมาตรฐาน
6. การป้องกันมลพิษ การปนเปื้อน และการปะปน ในระดับฟาร์ม เกษตรกรผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์ จะต้องมีมาตรการในการป้องกันมิให้ดินและผลผลิตเกษตรอินทรีย์ปนเปื้อนจากมลพิษ และสารเคมีสังเคราะห์ ทางการเกษตรที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในระบบเกษตรอินทรีย์ซึ่งรวมถึงโลหะหนักและมลพิษจากโรงงาน อุตสาหกรรมและชุมชนรวมทั้งมีมาตรการในการลดการปนเปื้อน (เช่น การจัดทำแนวกันชนรอบแปลงเกษตร อินทรีย์ที่มีพื้นที่ติดกับแปลงเกษตรเคมีที่มีการใช้สารเคมีต้องห้าม หรือการทำบ่อพักน้ำ และมีการบำบัดน้ำด้วยวิธีก่อนที่จะนำน้ำนั้นมาใช้ในแปลงปลูกพืชเกษตรอินทรีย์รวมถึงการทำความสะอาดเครื่องมือทางการ เกษตรที่อาจปนเปื้อนสารเคมีต้องห้ามก่อนนำมาใช้ในแปลงเกษตรอินทรีย์) เป็นต้น
มาตรฐานเกษตรอินทรีย์แต่ละแห่งจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการแนวกันชน (buffer zone) ที่ แตกต่างกัน โดยอาจมีการกำหนดทั้งระยะห่างระหว่างแปลงเกษตรอินทรีย์กับแปลงเกษตรเคมีหรือการปลูก พืช หรือการจัดทำสิ่งปลูกสร้างที่เป็นแนวป้องกันการปนเปื้อนในพื้นที่แนวกันชนที่แตกต่างกันได้ โดยทั่วไปจะ มีการกำหนดเกณฑ์แนวกันชนขั้นต่ำไว้ในมาตรฐาน ซึ่งหน่วยงานรับรองอาจจะพิจารณาให้เกษตรกรต้องมีการ จัดการแนวกันชนเพิ่มเติมจากข้อกำหนดขั้นต่ำโดยการพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงของฟาร์มแต่ละแห่ง
ในขั้นของการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวและการแปรรูป ผู้ผลิตผู้ประกอบการจะต้องมีการจัดการ ผลผลิตเกษตรอินทรีย์โดยป้องกันมิให้วัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ปะปนกันกับวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ หรือสัมผัสกับปัจจัยการผลิต หรือสารต้องห้ามต่างๆ ที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน เพราะจะทำให้วัตถุดิบหรือ ผลิตภัณฑ์นั้นสูญเสียสถานะของการได้รับการรับรองมาตรฐานได้ ยกตัวอย่างเช่น การไม่ใช้กระสอบที่บรรจุ ปุ๋ยเคมีหรือสารเคมีมาใช้บรรจุผลผลิตเกษตรอินทรีย์หรือในการจัดเก็บผลผลิตเกษตรอินทรีย์ในโรงเก็บ จะต้องไม่มีการใช้สารกำจัดศัตรูในโรงเก็บ ในขณะที่มีการเก็บผลผลิตเกษตรอินทรีย์ขนส่งผลผลิตเกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์คือระบบการผลิตที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม รักษาสมดุลของธรรมชาติและความ หลากหลายของทางชีวภาพ โดยมีระบบการจัดการนิเวศวิทยาที่คล้ายคลึงกับธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการใช้สาร สังเคราะห์ หลีกเลี่ยงการตัดต่อทางพันธุกรรมและการสร้างมลพิษในสภาพแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการใช้ อินทรียวัตถุการพึ่งพาตนเอง เพื่อให้ผลผลิตที่ได้ปลอดภัยจากสารพิษตกค้างปลอดภัยต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และไม่ทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ถือเป็นมาตรฐานที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ซื้อ และผู้บริโภคอย่างมาก โดยมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในปัจจุบันมีทั้งมาตรฐานของประเทศไทยและมาตรฐาน ต่างประเทศ ได้แก่มาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์ของกรมวิชาการเกษตร มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสำนักงาน มาตรฐานสินค้าเกษตร และอาหารมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา (National Organic Program: NOP) มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของประเทศญี่ปุ่น (Japan Organic Standard: JAS) มาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ของประเทศจีน (China Organic Standard) มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหพันธ์เกษตร อินทรีย์นานาติ (IFOAM Organic Standard) เป็นต้นOrganic Standard) เป็นต้น
การเกษตรปัจจุบันสามารถปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์ได้โดยเริ่มต้นศึกษาหาความรู้จากมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ที่ถูกกำหนดขึ้น ควรเริ่มต้นด้วยความสนใจและศรัทธา หลักทฤษฎีเพื่อการปฏิบัติโดยศึกษาหา ความรู้จากธรรมชาติเมื่อเริ่มปฏิบัติตามนี้แล้วก็นับได้ว่าก้าวเข้าสู่การทำเกษตรอินทรีย์ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเกษตร อินทรีย์ในระยะปรับเปลี่ยน เมื่อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องตามาตรฐานเกษตรอินทรีย์ไม่นานก็จะเป็น เกษตรอินทรีย์ได้ทั้งนี้ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับประเภทของเกษตรอินทรีย์ที่จะผลิตซึ่งได้ถูกกำหนดไว้ในมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์แล้ว ข้อสำคัญนั้นอยู่ที่การทำความเข้าใจเกษตรอินทรีย์ให้ถ่องแท้มีความตั้งใจจริงมีความ ขยันหมั่นเพียร ไม่ท้อถอยต่อปัญหาหรืออุปสรรคใดมีความสุขในการปฏิบัติก็จะบรรลุวัตถุประสงค์และประสบ ความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้เพราะเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้จริงเมื่อเป็นเกษตรอินทรีย์แล้วสามารถขอรับรองมาตรฐานจากภาครัฐ
6. การป้องกันมลพิษ การปนเปื้อน และการปะปน ในระดับฟาร์ม เกษตรกรผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์ จะต้องมีมาตรการในการป้องกันมิให้ดินและผลผลิตเกษตรอินทรีย์ปนเปื้อนจากมลพิษ และสารเคมีสังเคราะห์ ทางการเกษตรที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในระบบเกษตรอินทรีย์ซึ่งรวมถึงโลหะหนักและมลพิษจากโรงงาน อุตสาหกรรมและชุมชนรวมทั้งมีมาตรการในการลดการปนเปื้อน (เช่น การจัดทำแนวกันชนรอบแปลงเกษตร อินทรีย์ที่มีพื้นที่ติดกับแปลงเกษตรเคมีที่มีการใช้สารเคมีต้องห้าม หรือการทำบ่อพักน้ำ และมีการบำบัดน้ำด้วยวิธีก่อนที่จะนำน้ำนั้นมาใช้ในแปลงปลูกพืชเกษตรอินทรีย์รวมถึงการทำความสะอาดเครื่องมือทางการ เกษตรที่อาจปนเปื้อนสารเคมีต้องห้ามก่อนนำมาใช้ในแปลงเกษตรอินทรีย์) เป็นต้น
มาตรฐานเกษตรอินทรีย์แต่ละแห่งจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการแนวกันชน (buffer zone) ที่ แตกต่างกัน โดยอาจมีการกำหนดทั้งระยะห่างระหว่างแปลงเกษตรอินทรีย์กับแปลงเกษตรเคมีหรือการปลูก พืช หรือการจัดทำสิ่งปลูกสร้างที่เป็นแนวป้องกันการปนเปื้อนในพื้นที่แนวกันชนที่แตกต่างกันได้ โดยทั่วไปจะ มีการกำหนดเกณฑ์แนวกันชนขั้นต่ำไว้ในมาตรฐาน ซึ่งหน่วยงานรับรองอาจจะพิจารณาให้เกษตรกรต้องมีการ จัดการแนวกันชนเพิ่มเติมจากข้อกำหนดขั้นต่ำโดยการพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงของฟาร์มแต่ละแห่ง
ในขั้นของการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวและการแปรรูป ผู้ผลิตผู้ประกอบการจะต้องมีการจัดการ ผลผลิตเกษตรอินทรีย์โดยป้องกันมิให้วัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ปะปนกันกับวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ หรือสัมผัสกับปัจจัยการผลิต หรือสารต้องห้ามต่างๆ ที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน เพราะจะทำให้วัตถุดิบหรือ ผลิตภัณฑ์นั้นสูญเสียสถานะของการได้รับการรับรองมาตรฐานได้ ยกตัวอย่างเช่น การไม่ใช้กระสอบที่บรรจุ ปุ๋ยเคมีหรือสารเคมีมาใช้บรรจุผลผลิตเกษตรอินทรีย์หรือในการจัดเก็บผลผลิตเกษตรอินทรีย์ในโรงเก็บ จะต้องไม่มีการใช้สารกำจัดศัตรูในโรงเก็บ ในขณะที่มีการเก็บผลผลิตเกษตรอินทรีย์ขนส่งผลผลิตเกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์คือระบบการผลิตที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม รักษาสมดุลของธรรมชาติและความ หลากหลายของทางชีวภาพ โดยมีระบบการจัดการนิเวศวิทยาที่คล้ายคลึงกับธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการใช้สาร สังเคราะห์ หลีกเลี่ยงการตัดต่อทางพันธุกรรมและการสร้างมลพิษในสภาพแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการใช้ อินทรียวัตถุการพึ่งพาตนเอง เพื่อให้ผลผลิตที่ได้ปลอดภัยจากสารพิษตกค้างปลอดภัยต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และไม่ทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ถือเป็นมาตรฐานที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ซื้อ และผู้บริโภคอย่างมาก โดยมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในปัจจุบันมีทั้งมาตรฐานของประเทศไทยและมาตรฐาน ต่างประเทศ ได้แก่มาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์ของกรมวิชาการเกษตร มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสำนักงาน มาตรฐานสินค้าเกษตร และอาหารมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา (National Organic Program: NOP) มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของประเทศญี่ปุ่น (Japan Organic Standard: JAS) มาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ของประเทศจีน (China Organic Standard) มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหพันธ์เกษตร อินทรีย์นานาติ (IFOAM Organic Standard) เป็นต้นOrganic Standard) เป็นต้น
การเกษตรปัจจุบันสามารถปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์ได้โดยเริ่มต้นศึกษาหาความรู้จากมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ที่ถูกกำหนดขึ้น ควรเริ่มต้นด้วยความสนใจและศรัทธา หลักทฤษฎีเพื่อการปฏิบัติโดยศึกษาหา ความรู้จากธรรมชาติเมื่อเริ่มปฏิบัติตามนี้แล้วก็นับได้ว่าก้าวเข้าสู่การทำเกษตรอินทรีย์ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเกษตร อินทรีย์ในระยะปรับเปลี่ยน เมื่อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องตามาตรฐานเกษตรอินทรีย์ไม่นานก็จะเป็น เกษตรอินทรีย์ได้ทั้งนี้ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับประเภทของเกษตรอินทรีย์ที่จะผลิตซึ่งได้ถูกกำหนดไว้ในมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์แล้ว ข้อสำคัญนั้นอยู่ที่การทำความเข้าใจเกษตรอินทรีย์ให้ถ่องแท้มีความตั้งใจจริงมีความ ขยันหมั่นเพียร ไม่ท้อถอยต่อปัญหาหรืออุปสรรคใดมีความสุขในการปฏิบัติก็จะบรรลุวัตถุประสงค์และประสบ ความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้เพราะเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้จริงเมื่อเป็นเกษตรอินทรีย์แล้วสามารถขอรับรองมาตรฐานจากภาครัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น